ภิกษุ ท. ! บุคคลมีอุปการะมากต่อบุคคล สามจำพวกเหล่านี้ มีอยู่.
สามจำพวกเหล่าไหนเล่า ?
ภิกษุ ท. ! บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้า
เป็นสรณะ ถึงพระธรรมเป็นสรณะ ถึงพระสงฆ์เป็นสรณะ.
ภิกษุ ท. ! บุคคลนี้ชื่อว่าเป็นผู้มีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า
“นี้ ทุกข์, นี้ ทุกขสมุทัย, นี้ ทุกขนิโรธ, นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! บุคคลนี้ ชื่อว่ามีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.
ภิกษุ ท. ! ข้ออื่นอีก, บุคคลอาศัยบุคคลใดแล้ว ได้ทำให้แจ้งซึ่ง
เจโตวิมุตติปัญญาวิมุตติอันหาอาสวะมิได้ เพราะความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย
ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในทิฏฐธรรม เข้าถึงแล้วแลอยู่.
ภิกษุ ท. ! บุคคลนี้ชื่อว่ามีอุปการะมากต่อบุคคลนี้.
ภิกษุ ท. ! บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้แล ชื่อว่าบุคคลผู้มีอุปการะมากต่อบุคคล.
ภิกษุ ท. ! เรากล่าวว่า ไม่มีบุคคลอื่นที่มีอุปการะมากต่อบุคคล
ยิ่งไปกว่าบุคคล ๓ จำพวกนี้.
ภิกษุ ท. ! สำหรับบุคคล ๓ จำพวกนั้น บุคคลจะกระทำปฏิการะได้โดยง่ายหามิได้
แม้ด้วยการอภิวาท การลุกขึ้นยืนรับ การทำอัญชลี การทำสามีจิกรรม
และการตามถวายซึ่งจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจยเภสัชชบริขาร, แล.
– ติก. อํ. ๒๐/๑๕๕/๔๖๓.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ ๑
ภาคนำ ว่าด้วย ข้อความที่ควรทราบก่อนเกี่ยวกับจตุราริยสัจ หน้าที่ ๗๑/๘๑๗